เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน Part l

อเล็กซานเดอร์ แชปแมน เฟอร์กูสัน หรือที่เรารู้จักกันดีในชื่อ เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ผู้จัดการทีม “ปีศาจแดง” แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เขาก็เหมือนกับผู้จัดการทีมทั่วๆ ไป ที่มีจุดเริ่มต้นแบบธรรมดา ไม่หวือหวาอะไร เมื่อครั้งยังเด็กเขาถูกส่งไปเป็นลูกมือในอู่ต่อเรือ Clyde และได้ก้าวเข้าสู่วงการฟุตบอลโดยเริ่มเล่นฟุตบอลสมัครเล่นกับทีม ควีนส์ พาร์ค เขาลงเล่นนัดแรกในลีกกับตำแหน่ง ศูนย์หน้าตัวกลางในดิวิชั่น 2 พบกับ สตรานเรอร์ ในปี 1957 แล้วย้ายไปเล่นกับ เซนต์ จอห์นสโตน เป็นการชั่วคราวในปี 1960 และเริ่มเล่นเป็นอาชีพเมื่อย้ายไปอยู่กับ ดันเฟิร์มลิน ในปี 1964

ฟอร์มการเล่นที่โดดเด่นของเขาทั้งในลีกและในฟุตบอลระดับยุโรป ได้ดึงดูดความสนใจของ กลาสโกว์ เรนเจอร์ส ทีมโปรดของเขาในสมัยเด็ก และ 3 ปีหลังจากร่วมเล่นกับทีม ดันเฟิร์มลิน เขาก็ย้ายออกจากทีมด้วยค่าตัว 65,000 ปอนด์ เพื่อไปอยู่กับทีมบ้านเกิดของเขาคือ เรนเจอร์ส นั่นเอง อย่างไรก็ดี ความใฝ่ฝันที่คิดไว้ในถิ่น ไอบร็อกซ์ สเตเดี้ยม กลับไม่เป็นอย่างที่หวังเอาไว้ เขาล้มเหลวในการเล่นให้กับทีมในฝันของเขา และถูกขายให้กับ ฟอลเคิร์ก ในปี 1969 ที่ซึ่งเขาได้เริ่มต้นชิมลางการเป็นโค้ชอยู่ชั่วขณะหนึ่งก่อนที่จะย้ายไปเล่นกับ เอวายอาร์ ยูไนเต็ด ในปี 1973 แต่กลับกลายเป็นทางแยกให้กับอาชีพค้าแข้งของเขา
จากความหลงใหลในธุรกิจฟุตบอล เมื่อเขาอายุได้ 32 ปี เขาก็ประกาศแขวนสตั๊ด และหันหน้าเข้ามาเริ่มเป็นผู้จัดการทีมกับ สโมสร อีสต์ สเตอร์ลิง ในเดือนกรกฎาคม 1974 แต่เป็นช่วงเวลาอันแสนสั้น เมื่อเขาตัดสินใจย้ายไปคุมทีม เซนต์ เมอร์เรน ในดิวิชั่น 1 ในเดือน ตุลาคม ปีเดียวกัน เขาประสบความสำเร็จเป็นครั้งแรกเมื่อนำทีมคว้าถ้วยแชมป์ในปี 1976/77 แต่แทนที่คุมทีมต่อไปด้วยตัวผู้เล่นที่จำกัด อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน กลับลาออกจากการเป็นผู้จัดการทีม เนื่องจากมีการโต้เถียงเกิดขึ้น ระหว่างตัวเขาเองและประธานสโมสร
เขาลาออกจาก เซนต์ เมอร์เรน และมีหลายสโมสรใน สกอตแลนด์ ที่สนใจดึงเขามาคุมทีม แต่เขาเลือกที่จะไปอยู่กับ อเบอร์ดีน ในเดือนสิงหาคม ปี 1978 เขาได้สร้างทีมที่แข่งแกร่งขึ้นมาเท่าเทียมกับทีมใหญ่ๆ อย่าง เรนเจอร์ส และ เซลติก ในช่วงเวลาที่แสนสั้น โดยส่งผลให้เขานำทีมคว้าแชมป์ สกอตติช พรีเมียร์ลีก ถึง 3 ครั้ง, สกอตติช คัพ 4 ครั้ง และ ลีก คัพ 1 ครั้ง ในยุค 80 แต่เหนือสิ่งอื่นใดชัยชนะครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดที่เขาทำได้ ก็คือในปี 1983 เมื่อเขานำทัพขุนพล อเบอร์ดีน เอาชนะ เรียล มาดริด ได้ 2 – 1 ในศึก ยูโรเปี้ยน คัพ วินเนอร์ส คัพ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน มีชื่อเสียงที่เป็นที่รู้จักกันมากขึ้น เมื่อเขาได้เข้ามาคุมทีมชาติ สกอตแลนด์ ชั่วคราวในศึกฟุตบอลโลกที่ เม็กซิโก ในปี 1986 แทนที่ จ็อค สตีน ที่เสียชีวิตลง แล้วเขาก็ปฏิเสธข้อเสนอจาก บาร์เซโลน่า, อาร์เซนอล, เรนเจอร์ส และ ท็อตแน่ม ฮอตสเปอร์ส เพื่อเข้ามาคุมทีม แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ต่อจาก รอน แอตกินสัน ในวันที่ 7 พฤศจิกายน ปี 1986
การเข้ามาคุมทีม “ปีศาจแดง” ของเขาเริ่มต้นได้ไม่ดีนัก เขาตั้งใจที่จะลาออกจากการคุมทีม ในถิ่น โอลด์ แทรฟฟอร์ด เช่นกัน เมื่อเขาทำได้ไม่เหมือนกับที่เคยนำทีมจาก สกอตแลนด์ ประสบความสำเร็จมาแล้ว โดยในปี 1988 เขาพาทีมได้ที่ 2 ในลีก รองจาก ลิเวอร์พูล และต่างได้รับเสียงโห่ร้องจากแฟนบอลทั่วสนามว่า “Fergie out” ให้เขาลาออกจากทีม แต่เบื้องหลังความพ่ายแพ้ของทีมจะมีใครรู้บ้างว่าเขากำลังสร้างทีมขึ้นมาใหม่และได้ปรับปรุงระบบทีมเยาวชนใหม่ ซึ่งเขาคิดว่ามันจะส่งผลดีต่อเขาในระยะยาว
เขาเป็นคนตั้งกฎเกณฑ์เรื่องการดื่มการเที่ยวของผู้เล่นในสโมสรอย่างเคร่งครัด และได้ปล่อยตัวนักเตะผู้เป็นที่ชื่นชอบของแฟนบอลออกไปจากทีม เนื่องจากมีปัญหาเรื่องการดื่มหลายต่อหลายคนโดยไม่คำนึงถึงจิตใจของแฟนบอลเลยแม้แต่น้อย การสูญเสียนักเตะสำคัญเหล่านี้ ส่งผลเสียต่อทีมมาก ในเดือนมกราคม ปี 1990 การพ่ายแพ้อย่างยับเยินต่อทีมร่วมเมืองอย่าง แมนเชสเตอร์ ซิตี้ 5 – 1 ทำให้เขามีงานหนักที่ต้องรับมือ ในศึก เอฟเอ คัพ รอบที่ 3 เมื่อต้องพบกับ น็อตติ้งแฮม ฟอเรสต์ หาก แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด แพ้ในนัดนี้ นั่นก็หมายถึง จุดจบของเขา ในถิ่น โอลด์ แทรฟฟอร์ด แม้ว่า มาร์ติน เอ็ดเวิร์ดส ประธานสโมสรจะพยายามปฏิเสธ และชี้แจงว่าเขาให้การสนับสนุนผู้จัดการทีมผู้นี้อยู่เสมอมาก็ตาม แต่ดูเหมือนความหวังจะเลือนลางไปทุกที

อนาคตของ เฟอร์กี้ ยังไม่จบลงในถิ่น โอลด์ แทรฟฟอร์ด ง่ายๆ และเขาต้องขอบคุณ มาร์ค โรบินส์ นักเตะซึ่งลงเป็นตัวสำรองให้กับทีม ช่วยยิงประตูชัยให้ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เอาชนะ ฟอเรสต์ ไปได้ 1-0 และช่วยยืดอายุการคุมทีมของเขาออกไปได้ นับตั้งแต่ชัยชนะครั้งนั้น ก็เกิดจุดเปลี่ยนให้กับทั้ง เฟอร์กี้ และทีมปีศาจแดง จนท้ายที่สุด แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด สามารถเก็บชัยชนะมาได้ตลอดและได้ชูถ้วย เอฟเอ คัพ โดยการเอาชนะ คริสตัน พาเลซ ไปด้วยสกอร์ 1 – 0
ฤดูกาลหลังจากนี้ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ก็ได้รับรู้ถึงความรู้สึกของการได้ครองถ้วยแชมป์อีกครั้ง โดยเริ่มจากการคว้าถ้วย ยูโรเปี้ยน คัพ วินเนอร์ส คัพ ด้วยชัยชนะเหนือ บาร์เซโลน่า ทีมจากสเปนไป 2 – 1 โดยทั้งสองประตูนั้นมาจาก มาร์ค ฮิวจ์ส ซึ่งถือว่าเขายิงประตูดับฝันทีมเก่าของเขาเองด้วย แต่ในฤดูกาลนี้ แชมป์ลีก ที่เขาเคยทำได้ในปี 1967 กลับตกเป็นของ ลีดส์ ยูไนเต็ด ขณะที่ทีมปีศาจแดงได้เพียงรองแชมป์เท่านั้น แต่อย่างไรก็ดีเขาก็ยังพออุ่นใจได้บ้างเมื่อสามารถคว้าแชมป์ได้ในปีถัดมา คือ ปี 1992 โดยหลังจากนั้น ลีกสูงสุดของอังกฤษ ก็เปลี่ยนชื่อจาก ดิวิชั่น 1 เป็น พรีเมียร์ชิพ
แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เริ่มต้นปีแรกได้ดีทีเดียวด้วยการคว้าถ้วย พรีเมียร์ชิพ ถ้วยแรกของประวัติศาสตร์ โดยการนำทีมของผู้ชายที่ชื่อว่า อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ทีมปีศาจแดงเริ่มต้นฤดูกาลด้วยฟอร์มที่แสนจะธรรมดา แต่สิ่งที่สร้างความฮือฮามากเป็นพิเศษในเดือน พฤศจิกายน นั่นคือการย้ายทีมของ เอริค คันโตน่า จาก ลีดส์ ยูไนเต็ด มายังถิ่น โอลด์ แทรฟฟอร์ด และความน่าทึ่งของนักเตะชาวฝรั่งเศสผู้นี้ก็พิสูจน์ให้เห็นว่าเขาคือ จิ๊กซอว์ ตัวสำคัญของ เฟอร์กี้ ในการพาทีมคว้าถ้วย พรีเมียร์ชิพ มาครองได้อีกสมัย
ในฤดูกาล 1993/94 แฟนบอลปีศาจแดงก็ได้รับข่าวดีอีกครั้งกับการมาของนักเตะของ น็อตติ้งแฮม ฟอเรสต์ ที่ชื่อ รอย คีน ด้วยค่าตัวมูลค่า 3.5 ล้านปอนด์ และเป็นการจารึกไว้ในประวัติศาสตร์ของสโมสร กับการคว้า ดับเบิ้ลแชมป์ คือ แชมป์พรีเมียร์ชิพ โดยเอาชนะ แบล็คเบิร์น โรเวอร์ส และ เอฟเอ คัพ ชนะ เชลซี 4 – 0 แต่ในฤดูกาลถัดมา 1994/95 แบล็คเบิร์น โรเวอร์ส สามารถคว้าถ้วยแชมป์ลีกไปครองได้ 1 ฤดูกาล
เฟอร์กี้ และลูกทีมยังกระหายในชัยชนะและพวกเขาก็สามารถคว้า ดับเบิ้ลแชมป์ได้อีกครั้ง ทั้งถ้วย พรีเมียร์ชิพ และ เอฟเอ คัพ ในฤดูกาล 1995/96 แล้วเขาก็ได้นำพา “เด็กสร้างของเฟอร์กี้” มาแนะนำตัวให้กับวงการฟุตบอลในระดับมืออาชีพ ได้แก่ เดวิด เบ็คแฮม, แกรี่ เนวิลล์, ฟิล เนวิลล์, พอล สโคลส์, นิคกี้ บัตต์ และ ไรอัน กิ๊กส์ ซึ่งเป็นเด็กปั้นขึ้นมาจากทีมเยาวชนของสโมสรเพื่อมาทดแทนนักเตะสูงอายุ เช่น มาร์ค ฮิวจ์ส, พอล อินซ์ และ อังเดร แคนเชลสกี้ส์ ทำให้ทุกฝ่ายต่างก็จับตามองทีมของเขาอย่างไม่ละสายตา
แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เริ่มเปิดตัวได้ไม่ดีนักกับนักเตะหนุ่มๆ พวกเขาพ่ายแพ้ในช่วงแรกของฤดูกาล จนทำให้ผู้สื่อข่าวทีวีอย่าง อลัน แฮนเซ่น ต้องออกมาค่อนแคะว่า “คุณจะไม่สามารถคว้าแชมป์ได้กับเด็กๆ พวกนี้หรอก” แต่แล้วคำพูดนี้ ก็กลับไปหลอกหลอนเขาเอง เมื่อ “เด็กสร้างของเฟอร์กี้” เหล่านี้ ช่วยพาทีมไปคว้าแชมป์ลีกอีกครั้ง ถือเป็นครั้งที่ 4 ใน 5 ฤดูกาล และยังมีฟุตบอลถ้วยของยุโรปอย่าง แชมเปี้ยนส์ ลีก รอคอยอยู่อีก เฟอร์กี้ พาทีมปีศาจแดงผ่านเข้าถึงรอบ semi-finals ได้แต่ก็ต้องถูกหักอกโดย บอร์รุสเซีย ดอร์ทมุนด์ และฤดูกาลหลังจากนั้น พวกเขาก็ต้องตกรอบโดยพ่ายต่อ โมนาโก อีกทั้งเกมใน พรีเมียร์ชิพ เองก็โดน อาร์เซนอล ของ อาร์แซน เวนเกอร์ หักอกซ้ำอีก แถมยังคว้า ดับเบิ้ลแชมป์โดยการคว้าแชมป์ เอฟเอ คัพ ไปครองอีกถ้วย
จากความพ่ายแพ้ครั้งนี้ ทำให้ เฟอร์กี้ ต้องควานหานักเตะตัวใหม่ๆ เข้ามาช่วยทีม และเขาเองได้ทุ่มเงินมูลค่ากว่า 23 ล้านปอนด์ เพื่อซื้อกองหลังอย่าง ยาป สตัม มาจาก พีเอสวี ไอนด์โฮเฟ่น และ ศูนย์หน้าจาก แอสตัน วิลล่า นั่นคือ ดไวท์ ยอร์ค เพื่อเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับทีมในฤดูกาล 1998/99 ซึ่งก่อให้เกิดศูนย์หน้าคู่ใหม่ในวงการ โดย เฟอร์กี้ ได้จับคู่ แอนดี้ โคล เป็นศูนย์หน้าร่วมกับ ดไวท์ ยอร์ค และได้รับการขนานนามว่า “คู่หูผิวสี” และพวกเขาก็ไม่ทำให้แฟนบอลต้องผิดหวังเมื่อช่วยให้ทีมปีศาจแดง คว้า 3 แชมป์ได้เป็นหนแรก คือแชมป์พรีเมียร์ชิพ และ เอฟเอ คัพ โดยเอาชนะ นิวคาสเซิ่ล ยูไนเต็ด 2 – 1 และในศึก ยูโรเปี้ยน คัพ หรือ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ในปัจจุบัน ในรอบชิงชนะเลิศ พวกเขาต้องพบกับ บาเยิร์น มิวนิค โดยถูกยิงนำไปก่อน 1-0 แต่เมื่อมาถึงช่วงทดเวลาบาดเจ็บ ปาฏิหารย์ก็เกิดขึ้น ซูเปอร์ซับ อย่าง เท็ดดี้ เชอริงแฮม มาทำประตูตีเสมอได้ และเป็น โอเล่ กุนนาร์ โซลชาร์ ที่มายิงประตูชัยปิดท้าย 2 – 1 อย่างเหลือเชื่อ

เฟอร์กี้ ผู้ซึ่งเป็นเสมือนอัศวินผู้นำชัยชนะและเกียรติยศมาสู่ทีมจากเกาะอังกฤษได้รับมอบยศ เซอร์ โดยพระราชินีของอังกฤษ หลังจากนั้น เฟอร์กี้ ก็ประกาศว่าเขาจะเกษียณตัวเองในปี 2002 แต่ในฤดูกาลนี้พวกเขาก็ขอถอนตัวไม่ลงเล่นในศึก เอฟเอ คัพ ด้วยเหตุผลที่ว่าจะขอเอาเวลาไปกรำศึก ฟีฟ่า เวิลด์คลับ แชมเปี้ยนชิพ ที่ บราซิล แทน พวกเขาทำได้ไม่ดีนัก ภายใต้แสงแดดของอันจัดจ้าน ของภูมิประเทศของ บราซิล แต่พวกเขาก็ยังคงคว้าแชมป์ลีกมาได้อีกสมัยโดยทิ้งคู่แข่งอย่าง อาร์เซนอล ไปถึง 18 แต้ม
เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน เตรียมตัวกับฤดูกาลสุดท้ายของเขาด้วยการทุ่มเงินถึง 50 ล้านปอนด์ ในการซื้อศูนย์หน้าตัวใหม่ รุด ฟาน นิสเตลรอย และ มิดฟิลด์ตัวเก่งอย่าง ฮวน เซบาสเตียน เวรอน รวมไปถึง ดิเอโก้ ฟอร์ลัน มาร่วมทีม แต่นั่นก็ไม่สามารถป้องกันการขโมยถ้วยแชมป์ของ อาร์เซนอล ไปจากถิ่น โอลด์ แทรฟฟอร์ด ได้ โดยทีมปืนโตคว้าไปได้ทั้งถ้วย พรีเมียร์ชิพ และ เอฟเอ คัพ ในยุโรปพวกเขาก็เข้าไปถึงแค่รอบ semi-final เมื่อพบกับ ไบเออร์ เลเวอร์คูเซ่น แล้วปีศาจแดงก็จบฤดูกาลด้วยการไม่ได้ถ้วยแชมป์ใดๆ เลย จากความพ่ายแพ้ ทำให้ เฟอร์กี้ ได้คิดไตร่ตรองอีกครั้งและประกาศเลื่อนเวลาการเกษียณตัวเองออกไป เมื่อเขาต่อสัญญาอยู่กับทีมออกไปอีก 3 ปี และรับอดีตโค้ชทีมชาติโปรตุเกสและแอฟริกาใต้ อย่าง คาร์ลอส เคยรอซ มาเป็นผู้ช่วยของเขาที่ โอลด์ แทรฟฟอร์ด อีกทั้งเขายังทุบสถิติค่าตัวนักเตะที่แพงที่สุดในเกาะอังกฤษด้วยการซื้อตัว ริโอ เฟอร์ดินานด์ จาก ลีดส์ ยูไนเต็ด มาเสริมทีม
ในฤดูกาล 2003/04 ก็เกิดความเปลี่ยนแปลงที่มากมาย ทั้งสร้างความแปลกใจและเสียใจให้กับแฟนบอลของทีม เมื่อ สโมสรตัดสินใจปล่อยตัว เดวิด เบ็คแฮม ไปให้กับ เรียล มาดริด ในราคา 35 ล้านปอนด์ มีข่าวว่า อินเตอร์ มิลาน สนใจจะซื้อ ไรอัน กิ๊กส์ ทางด้าน ฟาเบียง บาร์กเตซ และ ฮวน เซบาสเตียน เวรอน เองต่างก็อยู่รายชื่อนักเตะที่จะถูกขายออกไปทั้งคู่ ตอนนี้ ปีศาจแดงผ่านรอบที่ 5 ในศึก เอฟเอ คัพ แล้ว โดยชนะ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ด้วยสกอร์ 4 – 2 อย่างลุ้นระทึก สำหรับศึก พรีเมียร์ชิพ ก็เหลือเพียงไม่กี่สัปดาห์เท่านั้น ซึ่งพวกเขาถูกทีมคู่แข่งอย่าง อาร์เซนอล นำไปแล้วถึง 5 แต้ม ด้วยสถิติที่ยังไม่แพ้ใครเลย
ความกระหายในชัยชนะของ เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ยังคงไม่หมดลงง่ายๆ เมื่อเขาตัดสินใจต่ออายุการคุมทีมออกไปอีกจนถึงปี 2005 และเขาจะยังอยู่กับทีมต่อไปเพื่อนำทีม แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ไล่ล่าถ้วยแชมป์มาสู่ “โรงละครแห่งความฝัน” ต่อไป
ประวัติคร่าวๆ
ผู้จัดการทีม : แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด
วัน เดือน ปีเกิด : 31 ธันวาคม ค.ศ. 1941 (พ.ศ.2484)
สถานที่เกิด : กลาสโกว์, สกอตแลนด์
เคยคุมทีม : อเบอร์ดีน, เซนต์ เมอร์เรน, อีสต์ สเตอร์ลิง
เหรียญรางวัลที่เคยได้รับ
พรีเมียร์ชิพ : 2003, 2001, 2000, 1999, 1997, 1996, 1994, 1993
เอฟเอ คัพ : 1999, 1996, 1994, 1990
ลีก คัพ : 1992
เอฟเอ แชร์ริตี้ ชิลด์ : 1997, 1996, 1994, 1993, 1990, 2003
สกอตติช พรีเมียร์ ลีก : 1985, 1984, 1980
สกอตติช ดิวิชั่น 1 : 1977
สกอตติช เอฟเอ คัพ : 1986, 1984, 1983, 1982
สกอตติช ลีก คัพ : 1986
ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก : 1999
ยูฟ่า คัพ วินเนอร์ส คัพ : 1991, 1983
ยูโรเปี้ยน ซูเปอร์ คัพ : 1983, 1991
อินเตอร์ คอนติเนนทัล คลับ คัพ : 1999
Opal

2001-2024 RED ARMY FANCLUB Official Manchester United Supporters Club of Thailand. #ThaiMUSC

Related Posts